กฏมหาเถร ฉบับที่ ๑๗

กฎมหาเถรสมาคม
ฉบับที่๑๗ 
.๒๕๓๖ )
ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์

******************


                       อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์   พ..   ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์   ฉบับที่   ๒ )   ..   ๒๕๓๕   และมาตรา   ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์   พ..   ๒๕๐๕   มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไว้ดังต่อไปนี้
                        ข้อ   ๑   กฎมหาเถรสมาคมนี้เรียกว่า   กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ ..   ๒๕๓๖ ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์
                        ข้อ   ๒   กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เป็นต้นไป
                        ข้อ   ๓   ตั้งแต่วันใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิก
                                    ()   กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๗ ..   ๒๕๐๖ ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์                                    ()   กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๗ แก้ไขเพิ่มเติม ..   ๒๕๑๕ )
                        บรรดากฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ หรือประกาศอื่นใด ในส่วนที่กำหนดไว้แล้ว ในกฎมหาเถรสมาคมนี้   หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับกฎมหาเถรสมาคมนี้   ให้ใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้แทน
หมวด   ๑
บททั่วไป
                        ข้อ   ๔ ในกฎมหาเถรสมาคมนี้ พระอุปัชฌาย์” หมายความว่า พระภิกษุผู้ได้รับแต่งตั้ง ให้มีหน้าที่เป็นประธานและรับผิดชอบในการให้บรรพชาอุปสมบทตามบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคมนี้
                        ข้อ   ๕ พระอุปัชฌาย์ มี ๒ ประเภท
                                    ()   พระอุปัชฌาย์สามัญ ได้แก่ พระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะใหญ่                                    ()   พระอุปัชฌาย์วิสามัญ ได้แก่ พระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระสังฆราช
                         ข้อ   ๖ พระภิกษุผู้ได้รับตราตั้งพระอุปัชฌาย์อยู่ก่อนใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ให้คงเป็น พระอุปัชฌาย์   ตามบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคมนี้
หมวด ๒
การแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์
                        ข้อ   ๗   ในเขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลหนึ่ง ให้มีพระอุปัชฌาย์เพียงหนึ่งรูป เว้นแต่ มีกรณีพิเศษ
                        ข้อ   ๘   พระภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
                                    ()   มีตำแหน่งในทางการปกครองชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไป เว้นแต่พระอารามหลวง                                    ()   มีพรรษาพ้น   ๑๐                                    ()   ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรืออาพาธเป็นโรคติดต่อ เช่น โรคเรื้อน หรือวัณโรคในระยะอันตราย                                    ()   มีประวัติความประพฤติดี                                    (  เป็นที่นับถือของประชาชน   ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์                                    ()   เป็นเปรียญหรือนักธรรมเอก   เว้นแต่ในบางท้องถิ่นซึ่งเจ้าคณะพิจารณาเห็นสมควรผ่อนผัน                                    ()   มีความสามารถฝึกสอนผู้อยู่ในปกครองให้เป็นพระภิกษุสามเณรที่ดี    ตามพระธรรมวินัย   และสามารถบำเพ็ญกรณียกิจอันอยู่ในหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ได้
                                    ()   มีความรู้ความสามารถ ทำอุปสมบทกรรมให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และระเบียบแบบแผนของคณะสงฆ์

                        ข้อ   ๙   ในการแต่งตั้งพระสังฆาธิการผู้ดำรงตำแหน่งต่ำกว่าเจ้าคณะจังหวัดเป็น พระอุปัชฌาย์   ให้พิจารณาเลือกพระสังฆาธิการผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติตามข้อ   ๘   แล้วรายงานรับรอง ขอแต่งตั้งเสนอขึ้นไปตามลำดับจนถึงเจ้าคณะภาค   ดังนี้
                                    ()   ตั้งรองเจ้าคณะจังหวัดหรือเจ้าคณะอำเภอเป็นพระอุปัชฌาย์ให้เจ้าคณะจังหวัด เป็นผู้เสนอรายงานรับรองขอแต่งตั้ง                                    ()   ตั้งรองเจ้าคณะอำเภอ   หรือเจ้าคณะตำบลเป็นพระอุปัชฌาย์ให้เจ้าคณะอำเภอเป็นผู้รายงาน รับรองขอแต่งตั้ง                                    ()   ตั้งรองเจ้าคณะตำบล   หรือเจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ให้เจ้าคณะตำบลเป็นผู้ เสนอรายงานรับรองการแต่งตั้ง
                         เมื่อเจ้าคณะภาคได้รับรายงานรับรองขอแต่งตั้งแล้ว   ให้ดำเนินการฝึกซ้อมอบรม  หรือสอบความรู้ตามความในข้อ   ๔๑   เมื่อเห็นเป็นการสมควรแล้ว ให้เสนอรายงานรับรองไปยังเจ้าคณะใหญ่ เพื่อพิจารณาแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ต่อไป
                        ข้อ  ๑๐  ในการแต่งตั้งเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค หรือเจ้าคณะจังหวัด  เป็นพระอุปัชฌาย์      ให้ผู้บังคับบัญชาเหนือรายงานตามลำดับ  เพื่อสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งตามมติ มหาเถรสมาคม
                        ในการแต่งตั้งเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงเป็นพระอุปัชฌาย์   ให้เจ้าคณะจังหวัดพิจารณาเลือกแล้วเสนอรายงานรับรองตามลำดับ  เพื่อทรงแต่งตั้งตามความในวรรคต้น
                        ข้อ   ๑๑    พระสังฆาธิการจะปฏิบัติหน้าที่พระอุปัชฌาย์ได้ ต่อเมื่อได้รับตราตั้งพระอุปัชฌาย์แล้ว  
หมวด ๓
หน้าที่พระอุปัชฌาย์
                        ข้อ   ๑๒   พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่ให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรได้เฉพาะตนและเฉพาะภายในเขต ตามที่บัญญัติไว้ในหมวด   ๔   แห่งกฎมหาเถรสมาคมนี้
                        ข้อ   ๑๓   พระอุปัชฌาย์ต้องพบและสอบสวนกุลบุตรให้ได้คุณลักษณะก่อนจึงรับให้บรรพชาอุปสมบทได้   คุณลักษณะของกุลบุตรนั้น   ดังนี้
                                    ()   เป็นคนมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตตำบลหรืออำเภอที่จะบวช   และมีหลักฐาน  มี อาชีพชอบธรรม   หรือแม้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอื่น แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าเป็นคนมีหลักฐาน มีอาชีพชอบธรรม มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง   ไม่ใช่คนจรจัด                                    ()   เป็นสุภาพชน มีความประพฤติดีประพฤติชอบไม่มีความประพฤติเสียหายเช่น   ติดสุราหรือยาเสพติดให้โทษ   เป็นต้น                                    ()   มีความรู้อ่านและเขียนหนังสือไทยได้                                    ()   ไม่เป็นผู้มีทิฎฐิวิบัติ                                    ()   เป็นผู้ปราศจากบรรพชาโทษ   และมีร่างกายสมบูรณ์   อาจบำเพ็ญสมณกิจได้ไม่เป็นคนชรา ไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ   หรือพิกลพิการ                                    ()   มีสมณบริขารครบถ้วนและถูกต้องตามพระวินัย                                    ()   เป็นผู้สามารถกล่าวคำขอบรรพชาอุปสมบทได้ด้วยตนเองและถูกต้องไม่วิบัติ
                        ข้อ   ๑๔   พระอุปัชฌาย์ต้องงดเว้นการให้บรรพชาอุปสมบทแก่คนต้องห้ามเหล่านี้
                                    ()   คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดิน                                    ()   คนหลบหนีราชการ                                    ()   คนต้องหาในคดีอาญา                                    ()   คนเคยถูกตัดสินจำคุกโดยฐานเป็นผู้ร้ายสำคัญ                                    ()   คนถูกห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา                                    ()   คนมีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ   เช่น   วัณโรคในระยะอันตราย                                    ()   คนมีอวัยวะพิการจนไม่สามารถปฏิบัติกิจพระศาสนาได้
                        ข้อ   ๑๕   พระอุปัชฌาย์จะให้บรรพชาอุปสมบทในวัดใด   ต้องได้รับนิมนต์ของเจ้าอาวาสวัดนั้น   ห้ามเข้าไปให้บรรพชาอุปสมบทในวัดของผู้อื่นโดยมิได้รับนิมนต์ของเจ้าอาวาส
                        ข้อ   ๑๖   เจ้าอาวาสผู้เป็นพระอุปัชฌาย์จะรับผู้ใดบวช   ต้องมีผู้รับรองและให้ผู้รับรองของผู้ นั้นนำผู้จะบวชมามอบตัวพร้อมด้วยใบสมัครและใบรับรองผู้จะบรรพชาอุปสมบทตามความในข้อ   ๔๑ ซึ่งจะขอได้จากพระอุปัชฌาย์   ก่อนถึงวันบรรพชาอุปสมบทไม้น้อยกว่า   ๑๕   วัน
                        ให้เจ้าอาวาสผู้เป็นพระอุปัชฌาย์   สอบสวนผู้จะมาบวชตามความในข้อ   ๑๓   และข้อ   ๑๔ ซึ่งปรากฎตามข้อปฏิญญาในใบสมัครขอบรรพชาอุปสมบท    และสอบถามผู้รับรองตามข้อรับรองผู้จะบรรพชาอุปสมบท   จนเป็นที่เข้าใจถูกต้องตรงกันดีแล้ว จึงรับใบสมัครขอบรรพชาอุปสมบทและใบรับรอง แล้วดำเนินการฝึกซ้อมผู้จะบวชต่อไป
                        ข้อ   ๑๗   เจ้าอาวาสผู้มิได้เป็นพระอุปัชฌาย์ จะรับผู้ใดบวชในวัดของตนให้นำผู้สมัครขอบรรพชาอุปสมบทนั้น ไปมอบตัวแก่พระอุปัชฌาย์พร้อมทั้งใบสมัครขอบรรพชาอุปสมบท และใบรับรองผู้จะบรรพชาอุปสมบท ก่อนถึง วันบรรพชาอุปสมบทไม่น้อยกว่า   ๑๕   วัน
                        ในกรณีเช่นนี้ ให้พระอุปัชฌาย์ผู้จะรับบวชปฏิบัติตามความในข้อ   ๑๖   วรรค   ๒  
                         ข้อ   ๑๘ใบสมัครขอบรรพชาอุปสมบทและใบรับรองผู้จะบรรพชาอุปสมบทให้ยื่นต่อเจ้าอาวาสผู้มิได้ เป็นพระอุปัชฌาย์   ๒   ฉบับ   เพื่อเจ้าอาวาสเก็บรักษาไว้ฉบับหนึ่งและพระอุปัชฌาย์เก็บไว้ฉบับหนึ่ง   ถ้าเจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ยื่นเพียงฉบับเดียว
                        ข้อ  ๑๙  พระอุปัชฌาย์เมื่อให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรแล้ว มีหน้าที่ต้องถือเป็นภารธุระปกครองดูแลสั่งสอนสัทธิวิหาริกของตนให้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ ต้องขวนขวายให้ได้รับการศึกษาพระธรรมวินัย และต้องออกหนังสือสุทธิให้แก่สัทธิวิหาริกตามความในข้อ   ๔๑ เพื่อแสดงสังกัดถิ่นที่อยู่และความบริสุทธิ์แห่งสมณเพศ
                        ถ้าสัทธิวิหาริกผู้มีพรรษายังไม่พ้น   ๕   จะไปอยู่ในวัดอื่นใด เมื่อพระอุปัชฌาย์เห็นสมควรก็ ให้สอบถามไปยังเจ้าอาวาสวัดนั้น   เมื่อได้รับคำยืนยันรับรองที่จะปกครองดูแลสั่งสอนแทนได้ จึงให้ทำหนังสือฝากและมอบภารธุระแก่เจ้าอาวาสวัดนั้น   ให้เป็นผู้ปกครองดูแลสั่งสอนแทนตน
                        ถ้าสัทธิวิหาริกผู้นั้นมีพรรษายังไม่พ้น   ๕ จะย้ายไปอยู่ในวัดอื่นต่อไปอีกให้เจ้าอาวาสผู้รับฝากปกครองแจ้งไปยังพระอุปัชฌาย์   เพื่อได้ปฏิบัติการตามความในมาตรา   ๒   แต่ถ้าพระอุปัชฌาย์นั้นพ้นจากความเป็นพระอุปัชฌาย์แล้ว   ก็ให้เจ้าอาวาสผู้ปกครองปฏิบัติการตามความในวรรค   ๒
ข้อ   ๒๐   พระอุปัชฌาย์ต้องส่งบัญชีสัทธิวิหาริกของตนตามความในข้อ   ๔๑  
หมวด ๔ เขตพระอุปัชฌาย์    
                        ข้อ   ๒๑   พระอุปัชฌาย์จะให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรได้ภายในเขตที่ระบุไว้ในตราตั้ง หรือเขตอำนาจที่ตนปกครองอยู่ในปัจจุบัน   คือ   ถ้าเป็น
                                    ()   เจ้าอาวาส   ภายในวัดของตน                                    ()   เจ้าคณะตำบล   ภายในเขตตำบลของตน                                    ()   เจ้าคณะอำเภอ   ภายในเขตอำเภอของตน                                    ()   เจ้าคณะจังหวัด   ภายในเขตจังหวัดของตน                                    (  เจ้าคณะภาค   ภาคในเขตภาคของตน                                    ()   เจ้าคณะใหญ่   ภายในเขตหนของตน
                        พระอุปัชฌาย์ที่ดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการมหาเถรสมาคม   ไม่จำกัดเขต
                        ข้อ   ๒๒   ถ้าไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น   พระอุปัชฌาย์ผู้เป็นกิตติมศักดิ์ในตำแหน่งปกครอง  ให้ บรรพชาอุปสมบทได้ในเขต   อนุรูปแก่ตำแหน่งปกครองเดิมของตนตลอดเวลาที่ตนยังสำนักอยู่ในวัด หรือในเขตที่ตนเคยปกครองนั้นเว้นแต่เป็นเจ้าคณะภาคกิตติมศักดิ์ แม้มิได้อยู่ในเขตที่ตนเคยปกครองก็ให้บรรพชาอุปสมบทในเขตที่ตนเคยปกครองนั้นได้
                        ข้อ   ๒๓   พระอุปัชฌาย์ผู้ลาออกจากตำแหน่ง   หรือพ้นจากตำแหน่ง  หรือถูกให้ออกจากตำแหน่งในทางปกครอง   และไม่ได้เป็นกิตติมศักดิ์   แต่ยังคงเป็นเจ้าอาวาส ให้เป็นพระอุปัชฌาย์ได้เฉพาะในวัดของตน
                        ข้อ   ๒๔   พระอุปัชฌาย์จะให้บรรพชาอุปสมบทนอกเขตของตนได้     ต่อเมื่อเจ้าของเขตขอร้อง   หรือได้ขออนุญาตเจ้าของเขตตามฐานานุรูปดังกล่าวในข้อ   ๒๑   และได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของเขตแล้ว   หรือได้ขอและรับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าคณะภาคเจ้าสังกัดเป็นครั้งคราว 
หมวด ๕ การระงับหน้าที่พระอุปัชฌาย์  
                        ข้อ   ๒๕   หน้าที่พระอุปัชฌาย์ต้องระงับในเมื่อ
                                    ()   พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ในทางปกครอง     และมิได้เป็นกิตติมศักดิ์ในตำแหน่งนั้น ๆ   หรือถูกให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ในทางปกครอง                                    ()   ขาดคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามความในข้อ   ๘
                                    ()   ถูกเป็นจำเลยในอธิกรณ์ที่มีโทษถึงให้สึก   และอยู่ในระหว่างไต่สวนพิจารณาวินิจฉัย                                    ()   ถูกถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่พระอุปัชฌาย์

                         ข้อ   ๒๖ การระงับหน้าที่พระอุปัชฌาย์ตามความในข้อ   ๒๕   (และ (ของ พระสังฆาธิการตำแหน่งต่ำกว่าชั้นเจ้าคณะอำเภอให้พระสังฆาธิการผู้บังคับบัญชา ของพระอุปัชฌาย์รูปนั้นรายงานตามลำดับจนถึงเจ้าคณะจังหวัด  เพื่อพิจารณาสั่งระงับจากหน้าที่พระอุปัชฌาย์   ถ้าเป็นเจ้าคณะอำเภอ  ให้เจ้าคณะจังหวัดพิจารณาสั่งระงับจากหน้าที่พระอุปัชฌาย์
                        ส่วนพระสังฆาธิการตำแหน่งตั้งแต่เจ้าคณะจังหวัดขึ้นไป   ให้ผู้บังคับบัญชาเหนือพิจารณาสั่งระงับ
                        ข้อ   ๒๗   การถอดถอนพระอุปัชฌาย์ตามความในข้อ ๒๕ (ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้  ในหมวด   ๖   แห่งกฎมหาเถรสมาคมนี้  
หมวด    จริยาพระอุปัชฌาย์
ส่วนที่ ๑
จริยา
                        ข้อ   ๒๘   พระอุปัชฌาย์   ต้องเอื้อเฟื้อ   สังวร   ประพฤติ   ตามพระธรรมวินัย   และกฎหมายอย่างเคร่งครัด   เพื่อเป็นแบบอย่างอันดีของสัทธิวิหาริก
                        ข้อ   ๒๙   พระอุปัชฌาย์   ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคมนี้
                        ข้อ  ๓๐  พระอุปัชฌาย์  ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งหรือคำแนะนำชี้แจงของพระสังฆาธิการ ผู้บังคับบัญชา   ซึ่งสั่งโดยชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคมนี้
                        ข้อ   ๓๑   พระอุปัชฌาย์   ต้องปฎิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง  มิให้บรรพชาอุปสมบทกรรมวิบัติบกพร่องไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ

ส่วนที่ ๒ การรักษาจริยา
                        ข้อ   ๓๒   ให้พระสังฆาธิการผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น      มีหน้าที่ควบคุมดูแลแนะนำชี้แจง   หรือสั่งพระอุปัชฌาย์ในเขตบังคับบัญชาของตน   ให้ปฏิบัติตามจริยาพระอุปัชฌาย์โดยเคร่งครัด

ส่วนที่ ๓ การละเมิดจริยา
                        ข้อ   ๓๓   พระอปัชฌาย์รูปใด   ปฏิบัติหน้าที่โดยละเมิดจริยาต้องได้รับโทษฐานละเมิดจริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง   ดังต่อไปนี้
                                    ()   ให้ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่พระอุปัชฌาย์                                    ()   ให้ระงับหน้าที่พระอุปัชฌาย์ชั่วคราวไม่เกิน   ๒   ปี                                    ()    เรียกตัวมาอบรมชั่วคราวไม่เกิน   ๑   ปี                                    ()   ให้ทำทัณฑ์บน                                    ()   ตำหนิโทษเป็นลายลักษณ์อักษร
                        ข้อ   ๓๔   การให้ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่พระอุปัชฌาย์นั้น จะทำได้ต่อเมื่อพระอุปัชฌาย์ละเมิดจริยาโดยจงใจให้บรรพชาอุปสมบทแก่คนต้องห้ามตามความในข้อ   ๑๔
                        ในกรณีเช่นนี้     ให้พระสังฆาธิการผู้บังคับบัญชาของพระอุปัชฌาย์นั้น รายงานโดยลำดับจนถึงผู้มีอำนาจแต่งตั้ง เมื่อได้สอบสวนและได้ความจริงตามรายงานนั้นแล้วให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งสั่งถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่พระอุปัชฌาย์
                        ในระหว่างที่ยังไม่มีคำสั่ง  พระสังฆาธิการผู้บังคับบัญชาเหนือ  อาจสั่งให้พักหน้าที่ พระอุปัชฌาย์ก่อนได้ แต่ถ้าพระอุปัชฌาย์รูปนั้นดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการต่ำกว่าเจ้าคณะจังหวัดให้เจ้าคณะจังหวัดเป็นผู้ สั่งพัก
                        ข้อ   ๓๕   พระอุปัชฌาย์รูปใด ละเมิดจริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากที่บัญญัติไว้ในข้อ ๓๔ เมื่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาเห็นสมควรลงโทษสถานเบาลงมาสถานเดียว หรือหลายสถานโดยสมควรแก่  ความผิด
                                    ()   ถ้าพระอุปัชฌาย์รูปนั้นดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการต่ำกว่าเจ้าคณะจังหวัด ให้ผู้ บังคับบัญชารายงานเสนอตามลำดับจนถึงเจ้าคณะภาค   เพื่อพิจารณาสั่งลงโทษ  แล้วรายงานผู้มีอำนาจแต่งตั้งทราบ                                    ()   ถ้าพระอุปัชฌาย์รูปนั้น   ดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการตั้งแต่เจ้าคณะจังหวัดขึ้นไป   ให้ผู้บังคับบัญชารายงานเสนอตามลำดับ   จนถึงผู้มีอำนาจแต่งตั้งเพื่อพิจารณาสั่งลงโทษ
                        ข้อ   ๓๖   ในกรณีที่พระอุปัชฌาย์เคยถูกลงโทษตามข้อ   ๓๓   ()   ()   และ   (มาแล้วไม่เข็ดหลาบ   กระทำผิดอีก   ให้ลงโทษในสถานที่หนักกว่าโทษเดิม
                        ข้อ   ๓๗   พระอุปัชฌาย์รูปใด   ถูกระงับหน้าที่พระอุปัชฌาย์ตามข้อ   ๒๕   ก็ดี   ถูกระงับหน้าที่พระอุปัชฌาย์ตามข้อ   ๓๓   ()   ก็ดี   ถูกพักหน้าที่พระอุปัชฌาย์ตามข้อ   ๓๔ วรรค   ๓   ก็ดี   หากฝ่าฝืนให้ บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรอีก   หรือถูกลงโทษตามความในข้อ   ๓๓   ()   แล้วไม่เข็ดหลาบ   ละเมิดซ้ำอีกให้ถือว่าเป็นการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง   ฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามความในข้อ   ๕๔  (แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่   ๑๖   (..   ๒๕๓๕ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ
                        ในกรณีเช่นนี้   ให้ผู้บังคับบัญชารายงานโดยลำดับ    จนถึงผู้มีอำนาจแต่งตั้งพระสังฆาธิการผู้ เป็นพระอุปัชฌาย์รูปนั้น   เพื่อพิจารณาสั่งถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่พระสังฆาธิการ  
หมวด ๗ เบ็ดเตล็ด
                          ข้อ   ๓๘   พระภิกษุรูปใดไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ หรือถูกถอดถอนจากความเป็นพระอุปัชฌาย์ตามกฎมหาเถรสมาคมนี้ บังอาจให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรต้องระหว่างโทษตามมาตรา  ๔๒   แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์   พ..   ๒๕๐๕  แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ( ฉบับที่   ๒ )   ..   ๒๕๓๕
                        ข้อ   ๓๙   บุคคลผู้ได้รับบรรพชาอุปสมบทตามความในข้อ   ๓๗   และข้อ   ๓๘   ให้ถือว่าบรรพชาอุปสมบทโดยมิชอบ   ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์อันพระภิกษุสามเณรจะพึงได้
                        ข้อ   ๔๐   ในกรณีแต่งตั้งหรือถอดถอนพระอุปัชฌาย์     ให้ผู้แต่งตั้งหรือผู้ถอดถอนแจ้งการแต่งตั้งหรือการถอดถอนไปยังสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม
                        ในกรณีที่พระอุปัชฌาย์พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ด้วยประการใด          ให้พระสังฆาธิการผู้บังคับบัญชาปฏิบัติตามความในวรรคต้น
                        ข้อ   ๔๑  วิธีปฏิบัติในการฝึกซ้อมอบรม  หรือสอบความรู้พระอุปัชฌาย์ก็ดี  ในการทำใบสมัคร รับรองผู้จะบรรพชาอุปสมบทก็ดี  ในการออกหนังสือสุทธิให้แก่สัทธิวิหาริกก็ดี   ในการส่งบัญชี สัทธิวิหาริกก็ดี   ให้เป็นไปตามที่กำหนดในระเบียบมหาเถรสมาคม
                          ตราไว้   ณ   วันที่   ๑๗   มีนาคม   ๒๕๓๖
สมเด็จพระญาณสังวร )
สมเด็จพระสังฆราช    สกลมหาสังฆปริณายก  
ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม